ในรอบ 122 ปีของประวัติศาสตร์สโมสร ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน (Brighton & Hove Albion) ได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการผ่านเข้าสู่รายการแข่งขันระดับยุโรปเป็นครั้งแรก
เมื่อ 12 เดือนก่อน ภายใต้การคุมทีมของ เกรแฮม พอตเตอร์ (Graham Potter) นกนางนวลจบอันดับที่ 9 ซึ่งถือเป็นผลงานที่ดีที่สุดในลีกสูงสุด โดยทำลายสถิติเดิมที่เคยทำไว้อันดับที่ 13 ในปี 1982
ฤดูกาลนี้เริ่มต้นอย่างยอดเยี่ยม โดยชนะ 4 จาก 6 นัดแรก รวมถึงชัยชนะที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด (Old Trafford) และถล่ม เลสเตอร์ ซิตี้ (Leicester City) 5-2 ในต้นเดือนกันยายน
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นเพียง 4 วัน เกรแฮม พอตเตอร์ (Graham Potter) ก็ย้ายไปคุมทีม เชลซี (Chelsea) พร้อมกับหัวหน้าฝ่ายสรรหานักเตะ ไคล์ แมคคอเลย์ (Kyle Macaulay) และทีมงานโค้ชทั้งหมดและทั้งนี้หากใครไม่อยากพลาด แทงบอล สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์นี้ได้เลยครับ
หลังจากการเสียชีวิตของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และช่วงพักทีมชาติ ทำให้ ไบรท์ตัน ไม่ได้ลงแข่งเป็นเวลา 4 สัปดาห์ โทนี่ บลูม (Tony Bloom) และคณะกรรมการบริหารจึงใช้เวลาพิจารณาอย่างรอบคอบ ก่อนแต่งตั้ง โรแบร์โต้ เด เซร์บี้ (Roberto De Zerbi) เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่
เกมแรกของกุนซือชาว อิตาลี จบลงด้วยผลเสมอสุดมันส์ 3-3 ที่ แอนฟิลด์ (Anfield) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของฟุตบอลสไตล์ใหม่
หลังจากศึก ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ (FIFA World Cup) พวกเขาชนะ 7 จาก 13 นัด แพ้เพียง 2 นัด ยิงได้ 3 ประตูในเกมเจอกับ ลิเวอร์พูล (Liverpool), เซาแธมป์ตัน (Southampton) และ เบรนท์ฟอร์ด (Brentford) พร้อมกับยิง 4 ประตูใส่ เวสต์แฮม (West Ham) และ เอฟเวอร์ตัน (Everton)
เดือนเมษายนพวกเขาเอาชนะ เชลซี ได้ทั้งเหย้าและเยือน และถล่ม วูล์ฟแฮมป์ตัน (Wolverhampton) 6-0 ซึ่งเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์สโมสร รองจากการชนะ นอร์ทวิช วิคตอเรีย (Northwich Victoria) 8-0 ในเกมถ้วยปี 2006
นอกจากนี้ทีมยังผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ เอฟเอ คัพ (FA Cup) เป็นครั้งที่สามในประวัติศาสตร์ ก่อนพ่ายจุดโทษให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (Manchester United) ที่สนาม เวมบลีย์ (Wembley)
อย่างไรก็ตาม พวกเขากลับมาแก้ตัวได้ด้วยการเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่สนาม อเม็กซ์ (Amex) ตามด้วยชัยชนะเหนือ อาร์เซนอล (Arsenal) 3-0 ที่สนาม เอมิเรตส์ (Emirates) และเสมอกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (Manchester City) 1-1 ในเกมเหย้านัดสุดท้าย ซึ่งการันตีการจบในอันดับที่ 6
ผลงานดังกล่าวทำให้ ไบรท์ตัน ได้สิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขัน ยูโรปา ลีก (Europa League) รอบแบ่งกลุ่มในฤดูกาลหน้า โดยคาดว่าจะถูกจัดอยู่ในโถ 3
มิดฟิลด์คู่หูอย่าง มอยเซส ไคเซโด้ (Moisés Caicedo) และแชมป์โลก อเล็กซิส แมค อัลลิสเตอร์ (Alexis Mac Allister) มีแนวโน้มที่จะย้ายทีม แต่สโมสรจะขายก็ต่อเมื่อได้ราคาตามที่ต้องการเท่านั้น
ผู้รักษาประตู โรเบิร์ต ซานเชซ (Robert Sánchez) ก็มีแนวโน้มจะย้ายทีมเช่นกัน หลังจากมีปัญหากับ โรแบร์โต้ เด เซร์บี้ จึงน่าสนใจว่าเขาจะให้ เจสัน สตีล (Jason Steele) เป็นมือหนึ่งเต็มตัว หรือจะมีการเสริมผู้รักษาประตูคนใหม่
ในขณะเดียวกัน สโมสรหวังว่านักเตะดาวรุ่งอย่าง ฟาคุนโด้ บัวนานอตเต้ (Facundo Buonanotte), เจเรมี่ ซาร์มิเอนโต้ (Jeremy Sarmiento), ฮูลิโอ เอนซิโซ่ (Julio Enciso) และ เอแวน เฟอร์กูสัน (Evan Ferguson) จะพัฒนาฝีเท้าขึ้นในฤดูกาลหน้า
สโมสรทุ่มเงิน 30 ล้านปอนด์คว้าตัว เชา เปโดร (João Pedro) จาก วัตฟอร์ด (Watford) เพื่อเสริมแนวรุก และมีรายงานว่า เจมส์ มิลเนอร์ (James Milner) วัย 37 ปี จะย้ายมาร่วมทีมแบบไม่มีค่าตัว โดยเขาต้องการลงเล่นอีก 34 นัดเพื่อทำลายสถิติการลงเล่นในพรีเมียร์ลีกของ แกเร็ธ แบร์รี่ (Gareth Barry) ที่ 652 นัด
นอกจากนี้ยังต้องจับตาดู ไซมอน อดิงกรา (Simon Adingra) ปีกดาวรุ่งวัย 21 ปีชาว ไอวอรี่ โคสต์ ที่ทำผลงานได้ 14 ประตู 15 แอสซิสต์ให้กับ รอยัล ยูนิยง แซงต์-กิยอส (Royale Union Saint-Gilloise) ในฤดูกาลนี้ เขาอาจเป็นซูเปอร์สตาร์ดาวรุ่งคนต่อไปจากสายการผลิตของ ไบรท์ตัน
วันนี้ทางเรา จึงสรุปข่าวของ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน มาให้ทุกคนได้อ่านกันครับ และทั้งนี้หากใครไม่อยากพลาด แทงบอล สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์นี้ได้เลยครับ